เรียบเรียงโดย วรเชษฐ แซ่เจีย
คุณครูและผู้ปกครองทั่วไทยคงสามารถสัมผัสได้ว่า หลังจากการเรียนรู้ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ไม่อาจถมช่องว่างการเรียนรู้ที่ขาดหายไปได้ และเกิดเป็นปัญหาการเรียนรู้และพัฒนาการของนักเรียนในหลายระดับ ทั้งการอ่านออกเขียนได้ (literacy) ทักษะการทำงานร่วมกัน พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงสุขภาวะของนักเรียนในองค์รวมก็เช่นกัน ซ้ำร้ายปรากฏการณ์ดังกล่าวยิ่งหนักขึ้นในกลุ่มนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษด้วย
การถดถอยทางการเรียนรู้ส่งผลกระทบในวงกว้างกว่าที่คาด
ท่ามกลางสถานการณ์ปัญหาจากที่กล่าวไว้ เมื่อกลับมาเปิดเรียนตามปกติในปีการศึกษา 2565 ที่ผ่านมานั้น โรงเรียนก็ยังคาดหวังให้ครูกลับมา “ทำงานตามปกติ” เช่นกัน นั่นคือ ยังคงมีงานใหญ่ งานรอง งานจิปาถะกลับมาดำเนินการด้วย พร้อม ๆ กับที่ครูต้องเตรียมการสอนในลักษณะเดิม ท่ามกลางต้นทุนการทำงานที่ไม่เหมือนเดิม และนักเรียนที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะท้อนเสียงของคุณครูในห้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำการบ้านของนักเรียนว่า “เด็กรับผิดชอบงานน้อยลง” ทั้งนี้อาจเพราะนักเรียน (และบางกรณีก็คือผู้ปกครอง) เชื่อว่า แม้ไม่ส่งงานให้ครบก็สามารถเรียนจบในวิชานั้น ๆ ไปได้ เพราะช่วงที่มีการแพร่ระบาดก่อนหน้านี้มีหลายกรณีที่ครูช่วยเหลือ และมองข้ามไปไม่ได้นำมาคิดคะแนน จนอาจกลายเป็นการเข้าใจผิด และเป็นรูปแบบการทำงานแบบใหม่ที่ไม่เหมาะสม มิหนำซ้ำยังส่งผลต่อแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ของนักเรียนที่ในภาพรวมก็ลดลง กลายเป็นเสียงที่คุณครูพยายามจะสื่อสารก็ส่งไปไม่ถึง
ผศ.อรรถพล ยังได้ชี้ให้เห็นเฉพาะกรณีของโรงเรียนที่ดำเนินการตามแนวคิด SLC ว่า วิธีการจัดการเรียนรู้ของครูเองก็ถูกบีบด้วยสถานการณ์โควิดที่ยังไม่คลายตัว ทำให้ยังไม่ค่อยเห็นการทำงานเป็นกลุ่มเท่าใดนัก “พอไม่ได้ทำต่อเนื่องจริงจังแบบช่วงก่อนโควิด เด็กก็เริ่มเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นทีมเป็นกลุ่มก็ได้”
ปรากฏการณ์นี้กระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียนมากทีเดียว ด้วยความผันผวนเช่นนี้จึงยิ่งสูบพลังกายและใจของครูอย่างไม่หยุดยั้ง กลายเป็นว่าโรงเรียนประสบปัญหาปัญหาจากทั้งสองทาง เพราะไม่เพียงปัญหานักเรียนที่ว่าแก้ยากแล้ว ยังมาเจอกับวิกฤตการณ์ครูหมดไฟซ้อนทับเข้าไปอีก กลายเป็นคำที่ ผศ.อรรถพล เรียกว่า “Hard Classroom”
บางห้องเป็น ‘Hard Classroom’ ของโรงเรียน คือเต็มไปด้วยนักเรียนที่มีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้น้อยมาก ๆ…โรงเรียนก็สาละวนกับการกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบเดิมให้ได้ แต่เด็กถูกทิ้งไว้กลางทาง ครูเองก็หมดไฟกันเยอะมาก ๆ…สอนออนไลน์ 2 ปีก็หนัก พอกลับมาออนไซต์ก็เจอโจทย์เรื่องเด็กที่หนักขึ้นกว่าเดิม
การเดินหน้าสร้างวัฒนธรรม SLC เป็นทางหนึ่งที่ช่วยได้
อย่างไรก็ดี ในวงสนทนาวันนั้น ผศ.อรรถพล ย้ำว่า แม้วัฒนธรรมการเรียนรู้แบบ SLC จะช่วยให้โรงเรียนและคุณครูมีต้นทุนในการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างบุคลากรที่แน่นแฟ้น แต่การที่บริบทของผู้เรียนเปลี่ยนแปลงไป และคุณครูเองก็อาจไม่ได้ใกล้ชิดกับนักเรียนมากนักในช่วงที่ผ่านนั้น ทำให้กว่าคุณครูจะสามารถระบุปัญหาที่แท้จริง ค้นหาวิธีการที่เหมาะสม และดำเนินการจนเสร็จสิ้นคงใช้ระยะเวลาอีกยาวนานกว่าจะฟื้นฟูการเรียนรู้ให้กลับมาเป็นดังเดิม แต่ส่วนสำคัญคือการมีต้นทุนความรู้เกี่ยวกับนักเรียนที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นจึงจะเป็นฐานสำคัญที่จะฟื้นฟูการเรียนรู้ในอนาคตข้างหน้า
“การทำ Learning Recovery [การฟื้นฟูการเรียนรู้] ไม่ได้เป็น ‘ยาวิเศษ’ ว่าใช้แผนการสอนวิเศษมาแก้ปัญหา copy วิธีการจากโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้มาใช้แก้ปัญหาได้ แต่จะเป็นการแก้ปัญหาซึมลึกมาก ๆ ที่ต้องคอยปรับจูนกันใหม่ และปรับพัฒนาการกันให้เหมาะสมตามช่วงเวลาที่เขาควรจะได้พัฒนาการนั้น”
ติดตามการสนทนาฉบับเต็มหัวข้อ "ฮาวทู "ฟื้นฟู" การเรียนรู้ด้วยแนวคิด SLC" ร่วมทบทวนปัญหา Learning Loss ผ่านแนวคิด
ที่มา ; EDUCA
SLC กับการเรียนรู้จากห้องเรียนของตนเองหลังโควิด
เรียบเรียงโดย วรเชษฐ แซ่เจีย
หลังจากที่คุณครูและนักเรียนได้กลับมาเรียนรู้ร่วมกันในห้องเรียนจริง หลังจากที่เจอกันผ่านหน้าจอบ้าง หรือเรียนรู้จากจอทีวีบ้างมากว่า 1 ปี ปีการศึกษา 2565 ที่ผ่านมาจึงมีบทเรียนสำคัญที่คุณครูสามารถหยิบฉวยขึ้นมา เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้นไปได้ กลบช่องว่างการเรียนรู้ที่ถ่างออกในช่วงที่ผ่านมา และเกิดเป็นแนวทางการทำงานในระดับโรงเรียนที่ยืดหยุ่นแต่เข้มแข็ง
ระบบการทำงานแบบ SLC เป็นแบบใด
School as Learning Community (SLC) หรือแนวคิดโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ เป็นรูปแบบการทำงานอย่างร่วมมือรวมพลังของครู บนฐานวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ทิ้งครู-นักเรียน-ผู้ปกครองไว้ข้างหลัง ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่เปิดแห่งการเรียนรู้ และมีโอกาสเป็นผู้เรียนรู้อยู่เสมอ
รศ. ดร.สิริพันธุ์ สุวรรณมรรคา ข้าราชการบำนาญ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ได้กล่าวถึงหลักปรัชญา SLC ทั้ง 3 ประการที่ต้องปฏิบัติ เพื่อสร้างวัฒนธรรมดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้ ประกอบด้วย
1. ปรัชญาว่าด้วยความเป็นสาธารณะ (Public Philosophy) คือ การมองทุกที่ในโรงเรียนว่าเป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันของทุกคน
2. ปรัชญาว่าด้วยประชาธิปไตย (Democracy Philosophy) คือ การให้คุณค่าในทุกเสียงจากทุกคน หรือที่นักวิชาการเรียกว่า การสร้างความสัมพันธ์อันดีผ่านการรับฟังซึ่งกันและกัน
3. ปรัชญาว่าด้วยความเป็นเลิศ (Excellence Philosophy) ที่ให้คุณค่ากับสิทธิของนักเรียนที่จะพัฒนาตนเองอยู่เสมอให้เต็มตามศักยภาพของตน
“โรงเรียนคือพื้นที่ที่สร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับทุกคน เพื่อให้ทุกคนได้รู้ตัวว่า เรานั้นมีความสำคัญ และเราทุกคนสามารถพัฒนาตัวเราสู่ความเป็นเลิศ [ไม่ว่าจะเป็น] นักเรียนทุกคน คุณครูทุกคน ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และที่สำคัญก็คือชุมชนทุกคนด้วย”
ตลกผลึกความคิด 1 ปีหลังโควิด…เตรียมตัวสำหรับปีการศึกษาใหม่
รศ. ดร.สิริพันธุ์ ยังได้กล่าวถึงกิจกรรมการประชุมนานาชาติ SLC ครั้งที่ 10 นี้ว่าเป็น ช่วงเวลาแห่งการทบทวนเพื่อวางแผนงานสำหรับปีการศึกษาต่อไป กิจกรรมดังกล่าวมีนักการศึกษาจากหลากหลายประเทศจะมาร่วมแลกเปลี่ยนเชิงทฤษฎีและปฏิบัติให้ผู้ฟังได้ร่วมขบคิด และปรับปรุงตนเองตลอด 3 วัน โดยเฉพาะช่วง Keynote Speakers หรือวิทยากรหลักในวันที่ 2 ซึ่งน่าติดตามเป็นอย่างมาก โดยส่วนตัว รศ. ดร.สิริพันธุ์ จะได้นำเสนอในหัวข้อ Awakening wisdom of self-reliance and collaborative inquiry for blooming along together: Thai journey ด้วยเช่นกัน โดยได้เกริ่นเล็กน้อยว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ลงพื้นที่ด้วยตนเองมากนัก แต่จากการสังเกตและติดตามการทำงานของคณะทำงาน สพฐ. ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาจนจบโครงการ ก็พบว่าโรงเรียนสามารถพึ่งพาและนำตนเอง จนเติบโตไปด้วยกันในการทำงานเชิงสืบสอบแบบร่วมมือจากห้องเรียนของตนเองได้
ซึ่งในช่วงท้ายของการสนทนา รศ. ดร.สิริพันธุ์ ก็กล่าวเชิญชวนให้ผู้ฟังลงทะเบียนร่วมกิจกรรม เพื่อให้ได้เครื่องไม้เครื่องมือมาปรับประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในปีการศึกษาใหม่ต่อไป
“เราทุกคนต้องการเห็นคุณภาพการจัดการศึกษาของไทยเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็ชัด ลัด สั้น ตรง...เราจะสามารถได้ทั้งกำลังใจ ภูมิปัญญา วัฒนธรรม เทคนิควิธีการต่าง ๆ รวมทั้งเครือข่ายกลับมาที่จะทำงานของเราที่ดีอยู่แล้วให้เป็นเลิศ”
ที่มา ; EDUCA