เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. … ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือ ยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2550 และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2560 เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ที่กำหนดให้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดแทน
“ร่างกฎกระทรวงจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ร่างขึ้นใหม่ฉบับนี้ หากพื้นที่และชุมชน มีความเห็นและข้อตกลงร่วมกันแล้ว สามารถที่จะดำเนินการในพื้นที่เองได้ โดยผ่านสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ให้ความเห็นชอบตามบริบทของพื้นที่ได้ทันที โดยไม่ต้องนำเรื่องเข้ามาที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จให้รายงานต่อ สพฐ.ทราบ ซึ่งวันนี้ ครม.ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงดังกล่าว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาดำเนินการจากนั้นจะส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป” น.ส.ตรีนุชกล่าว
ที่มา ; มติชนออนไลน์ วันที่ 2 พฤษภาคม 2566
ข่าวเกี่ยวกัน
‘สพฐ.’ ยันไม่มีเป้าหมายยุบ ร.ร.เล็ก หลัง ‘ครม.’ ไฟเขียวร่างกฎกระทรวงใหม่
นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอนั้น กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเดิมมีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2550 บังคับใช้อยู่แล้ว แต่เมื่อมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2560 เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของ ศธ.ออกมา ก็เกรงว่าระเบียบดังกล่าวจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงต้องปรับแก้จากระเบียบกระทรวง มาเป็นกฎกระทรวงตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเมื่อ ครม.ให้ความเห็นชอบแล้ว จะต้องเสนอร่างกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวให้กฤษฎีกา พิจารณาอีกครั้ง ก่อนเสนอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ลงนามก่อน ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการต่อไป
นายอัมพรกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ กฎกระทรวงดังกล่าวจะมีความเปลี่ยนแปลงจากระเบียบเดิมในเรื่องการขอยุบสถานศึกษา ซึ่งเดิมจะต้องเสนอให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) พิจารณามาเป็นเสนอให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ให้ความเห็นชอบได้เลย เป็นการกระจายอำนาจ ลดขั้นตอนให้กระบวนการทุกอย่างจะจบลงที่จังหวัด
“การออกกฎกระทรวงนี้ มีการเพิ่มในเรื่องของการยุบสถานศึกษาเข้าไปนั้น ไม่ได้เปิดโอกาสให้ยุบโรงเรียนขาดเล็ก เพราะขณะนี้ สพฐ.เน้นในเรื่องการให้เด็กมาเรียนร่วมกัน โรงเรียนที่มีทรัพยากรพร้อม ช่วยเหลือโรงเรียนที่ขาดแคลน เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุด” นายอัมพรกล่าว
ด้านนายอดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) นครราชสีมา กล่าวว่า เท่าที่ดูรายละเอียดกฎกระทรวงฉบับนี้ ไม่ได้มีความแตกต่างจากระเบียบเดิม แต่เป็นการกระจายอำนาจไปให้จังหวัด ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะปัจจุบันโครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป อัตราการเกิดลดลง ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักเรียน ซึ่งไม่ใช่แค่โรงเรียนระดับขั้นพื้นฐานเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ และต้องปรับตัว แม้แต่มหาวิทยาลัยเองก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
“สถานการณ์ขณะนี้เปลี่ยนไป มีโรงเรียนขนาดเล็กเกิดมากขึ้นทุกวัน เพราะจำนวนเด็กวัยเรียนลดลง ดังนั้นการบริหารจัดการจึงต้องมีความเปลี่ยนแปลง ต้องปรับมุมมองในเรื่องการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก เป็นการส่งเสริมในเรื่องการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่า โดยให้เด็กมาเรียนร่วมกันได้ในโรงเรียนเดียว เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และยุบเลิกโรงเรียนที่ไม่มีการเรียนการสอน เพื่อประหยัดงบประมาณ ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กที่จำเป็นต้องคงอยู่ เช่น โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เกาะ หรือภูเขาสูง ก็ทำการส่งเสริมสนับสนุนทั้งงบประมาณ และครู เพื่อให้โรงเรียนเหล่านั้น สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพ” นายอดิศรกล่าว
ที่มา ; มติชนออนไลน์ วันที่ 15 พฤษภาคม 2566