ค้นหา

10 แนวคิดการทำงานเพิ่มประสิทธิภาพชาวออฟฟิศ

ปีใหม่นี้ชวนวัยทำงานมาพัฒนาตนเองให้ทำงานเก่งขึ้น นอกจากจะเป็นการต่อยอดสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้แล้ว ยังเป็นการเพิ่มพูนทักษะ ปรับปรุงในสิ่งที่เคยพลาด และช่วยให้รับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น

·  เปิด 10 แนวคิดการทำงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณให้ดีขึ้นกว่าที่เคย หนึ่งในนั้นคือ การพัฒนาตนเองแบบค่อยเป็นค่อยไปวันละ 1% เมื่อครบ 356 วัน ก็จะพบว่าตนเองพัฒนาดีขึ้นกว่าเดิมเกือบ 38 เท่า! 

·   หากวันใดที่รู้สึกติดขัด ท้อแท้ใจ หรือหมดไฟในการทำงาน ผู้เชี่ยวชาญแนะให้ถอยออกมาเพื่อมองหาเส้นทางอาชีพใหม่ๆ ก็ได้ ไม่ผิด ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้แปลว่าเรายอมแพ้ 

ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาตลอดปี 2024 แต่อีกไม่กี่วันชาวออฟฟิศก็จะได้หยุดยาวพักผ่อนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2025 กันแล้ว นอกจากการเฉลิมฉลองความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อีกสิ่งหนึ่งที่วัยทำงานนิยมทำกันทุกปีคงหนีไม่พ้นการตั้งเป้า New year Resolution เพื่อพัฒนาตนเองสู่เวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะในเรื่องการทำงาน

การพัฒนาตนเองในการทํางานสำคัญอย่างไร? อย่างที่รู้กันดีว่าโลกทำงานยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว หากเราไม่เร่งปรับตัว หรือพัฒนาตนเองสู่ทักษะใหม่ๆ ก็อาจเสียโอกาสในตลาดแรงงาน เพราะทักษะเดิมอาจล้าสมัยไปแล้วในยุคปัจจุบัน อีกทั้งการทำอะไรซ้ำซากจำเจก็อาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงานได้ง่าย 

ปีใหม่นี้จึงอยากชวนวัยทำงานลองสำรวจ Passion ในงานของตนเองอีกครั้ง หากพบว่าตนเองยังคงรักในอาชีพปัจจุบันจริงๆ ก็ย่อมต้องการพัฒนาตนเองให้ทำงานนี้ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากจะเป็นการต่อยอดสายอาชีพไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มพูนทักษะ ปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่เคยทำพลาด และเพิ่มความสามารถในการรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงต้องมีการพัฒนาตนเองในการทำงาน

 

 

 

ฤกษ์ดีปีหน้าฟ้าใหม่ หากใครกำลังกำหนดเป้าหมายพัฒนาตนเองในเรื่องการทำงานอยู่ล่ะก็ ลองเข้ามาเช็กลิสต์ “10 แนวคิดการทำงาน” ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณให้ดีขึ้นกว่าที่เคย กรุงเทพธุรกิจ ได้รวบรวมแนวคิดดีๆ มาเสิร์ฟให้แล้ว ดังนี้ 

1. ใช้แนวคิดปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น 1% ในทุกๆ วัน

คนส่วนใหญ่มักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่เชื่อเถอะว่าหากเปลี่ยนแล้วมันดีต่อชีวิตและการงาน (แม้จะขัดใจและขี้เกียจทำ) ก็ควรลงมือทำซะ! การเปลี่ยนแปลงในที่นี้คือ การปรับปรุงและพัฒนาตนเองแบบค่อยเป็นค่อยไป เพียงวันละ 1% เมื่อครบ 356 วันหรือภายใน 1 ปี เราก็จะกลายเป็นเราในเวอร์ชันที่ดีขึ้นได้แน่นอน

James Clear ผู้เขียนหนังสือชื่อ “Atomic Habits” บอกว่า การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้สร้างขึ้นได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากเดิม เมื่อเราพัฒนาขึ้น 1% ทุกๆ วัน เราก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ วันเช่นกัน เมื่อปฏิบัติต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี ก็จะเห็นได้ว่า เราดีขึ้นเกือบ 38 เท่า! เมื่อเทียบกับ 365 วันก่อน ทั้งนี้ เริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายว่าเราอยาพัฒนาตัวเองในเรื่องไหน

ยกตัวอย่างเช่น หากเราอยากทำงานให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิม 2 ชั่วโมง ก็อาจตั้งเป้าหมายว่าจะต้องตื่นให้เช้ากว่าเดิม และเริ่มทำงานก่อนเวลาปกติที่เคยทำ โดยค่อยๆ ปรับเวลาให้เร็วขึ้นทีละน้อยในแต่ละวัน อาจเริ่มจากปรับเวลาเริ่มงานเร็วขึ้น 5 นาทีจากเดิม (แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 10-15-20-30 นาที ไปจนถึง 2 ชั่วโมง) ให้คุ้นชินไปเรื่อยๆ คีย์สำคัญคือความต่อเนื่องอย่าหยุดกลางคัน เมื่อทำได้ตามเป้าหมาย เราก็จะรู้สึกประสบความสำเร็จ และลดความรู้สึกเชิงลบต่อการทำงาน 

2. ฝึกพูดคำว่า “ไม่” เพื่อยืนยันขอบเขตการทำงานของคุณ

การเป็นคนที่มักจะตอบตกลงหรือ Say Yes! ไปกับคำร้องขอของทุกคน และทุกเรื่องในการทำงาน ดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องที่ดีต่อทีม ทำให้คนพูดดูเป็นคนใจดีหรือน่าดึงดูดใจ แม้ว่าจะรู้เต็มอกว่าตัวเองกำลังรับภาระมากเกินไปก็ตาม หากทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็อาจทำให้ชีวิตการงานพังได้ เช่น ทำงานไม่ทัน ทำงานไม่เสร็จ เกิดแรงกดดัน และเสียสุขภาพจิตหนักกว่าเดิม

ดังนั้น การกำหนดขอบเขตที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณมีเวลาที่จะมุ่งเน้นและโฟกัสงานในขอบเขตของตัวเอง เพื่อทำมันออกมาได้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น หากมีใครขอให้ช่วยทำงานแทรกอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา นอกเหนือจากงานประจำที่ต้องทำทุกวัน หากวันนั้นงานประจำของตนเองค่อนข้างเยอะ งานยาก หรืองานจุกจิกยุ่งเหยิงพันตัวอยู่ ก็ควรปฏิเสธที่จะทำงานชิ้นนั้นไป เก็บแรงไว้ทำงานตรงหน้าให้กสำเร็จด้วยดีก่อน นอกจากนี้ การกำหนดขอบเขตยังช่วยขจัดสิ่งรบกวนเพื่อให้คุณทำงานตามลำดับความสำคัญได้

3. จัดลำดับความสำคัญของงาน คัดกรองงานที่ไม่จำเป็นออกไป 

การกำจัดงานที่ไม่มีประโยชน์” เป็นจุดแรกที่ต้องพิจารณาหากคุณคิดที่จะปรับปรุงวิธีการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น หากมีงานสำคัญที่จะต้องทำให้เสร็จวันนี้ กับงานหยุมหยิมที่ไม่ค่อยสำคัญ แม้ว่าต้องทำให้เสร็จเหมือนกัน แต่ก็ต้องตัดทิ้งไปก่อน รู้จักคัดกรองงานที่ไม่จำเป็นของวันนี้ออกไป แล้วโฟกัสทำงานที่สำคัญของวันนี้ให้เสร็จ 

นอกจากนี้ก็ต้องรู้จักจัดลำดับความสำคัญของงานว่า งานไหนต้องใช้เวลามาก งานไหนที่ใช้เวลาน้อย ให้คุณเลือกทำงานที่ต้องใช้เวลามากก่อน และเก็บงานที่ใช้เวลาน้อยไว้ทำทีหลัง เพราะหากคุณเลือกที่จะทำแต่งานที่ใช้เวลาน้อยก่อน สุดท้ายก็อาจทำงานที่ต้องใช้เวลามากไม่เสร็จตามกำหนด เมื่อจัดลำดับความสำคัญของงานได้แล้ว ให้กำหนดตารางเวลาสำหรับงานแต่ละชิ้น เช่น ระบุรายละเอียดว่า “จะทำงานอะไร ตั้งแต่เวลากี่โมงถึงกี่โมง” เมื่อคุณคุ้นเคยกับการจัดตารางเวลาแล้ว คุณจะสามารถคำนวณได้ว่างานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใด ช่วยให้งานเสร็จลุล่วงได้ด้วยดี

4. แนวคิดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ทำงานเสร็จแบบไม่เครียด

ในเวลาที่งานเข้ามาพร้อมกันทีละมากๆ หรือเป็นงานโปรเจกต์ใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินงานยาวนาน หากรู้สึกว่ารับมือไม่ไหว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จัดการและรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการ “แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ” เช่น หากคุณต้องจัดทำเอกสารขึ้นมา 50 ชุด เพื่อส่งหัวหน้า การทำงานทีเดียวทั้ง 50 ชิ้นอาจดูเยอะ ล้นมือ และกังวลว่าจะทำไม่ทันในคราวเดียว 

วิธีแก้คือ ให้กำหนดเดดไลน์ย่อยๆ ขึ้นมาสัก 5 ครั้ง แล้วทยอยทำงานทีละ 10 ชิ้นให้เสร็จตามเดดไลน์ของแต่ละช่วง ทำไปเรื่อยๆ จนครบกำหนดทั้ง 5 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถลดปริมาณงานและภาระที่ต้องดำเนินการในแต่ละครั้งลงได้อย่างมาก และอาจทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นด้วย 

5. อย่าติดกับดัก impostor syndrome คิดว่าตนเองไม่เก่งพอ

คริสตินา เฮเลนา (Christina Helena) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพูดในที่สาธารณะและวิทยากร TEDx อ้างถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ค้นพบว่า ผู้คนมากกว่า 80% เผชิญกับภาวะ “impostor syndrome” อาการผิดปกติทางจิตใจ ที่มักรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเก่งพอ ไม่มีค่า สงสัยในความสามารถของตน รู้สึกว่าความสำเร็จที่ได้มาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งนั่นอาจทำให้เกิดการใช้คำพูดเช่น “ฉันไม่คู่ควรกับความสำเร็จของฉัน” หรือ “ฉันไม่คู่ควรกับสิ่งนี้” 

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีแก้ไขคือ ให้ถามตัวเองว่า ‘ทำไมเราถึงคิดว่าตนเองไม่สมควรได้รับสิ่งนี้’ หากได้คำตอบว่า เป้าหมายของเราไม่สอดคล้องกับแผนงานความสำเร็จของคนอื่น จงยอมรับความรู้สึกนั้นแล้วปล่อยมันไป เพราะความสำเร็จของแต่ละคนแตกต่างกัน สุดท้ายแล้ว คุณเป็นผู้ตัดสินใจว่าคุณสมควรได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิต คุณรู้ดีว่าทุกวันนี้ทำงานหนักเพื่ออะไร ก็แค่ทำตามเป้าหมายของตนเองต่อไป

6. ทบทวน Career Cycle และเส้นทางอาชีพของตนอยู่เสมอ 

หากวันใดที่รู้สึกติดขัด ท้อแท้ใจ หรือหมดไฟกับการทำงานในอาชีพปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการจมปลักอยู่กับความรู้สึกเชิงลบเหล่านั้นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ประสิทธิภาพมีแต่จะแย่ลง การงานไม่พัฒนาก้าวหน้า และสุขภาพจิตก็แย่ตามไปด้วย ดังนั้น การถอยออกมาเพื่อมองหาเส้นทางอาชีพใหม่ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้แปลว่าเรายอมแพ้

เริ่มต้นจากการทบทวน Career Cycle ตัวเองใหม่อีกครั้งว่า เรารักในอาชีพนี้จริงๆ ใช่ไหม พร้อมทั้งประเมินทักษะของตนเองว่าเพียงพอหรือเปล่า รวมถึงมองหาจุดแข็งของตัวเอง และมองเห็นคุณค่าของตัวเอง จากนั้นให้ค้นหาว่า เป้าหมายตอนนี้เราอยากพาตัวเองไปสู่จุดไหนในสายอาชีพ ลองค้นหาข้อมูลหรือเทรนด์ใหม่อยู่เสมอ หากเจอโอกาสดีๆ ก็ควรคว้าไว้ บางครั้งการอยู่ในที่เดิมเป็นเวลานานๆ ก็อาจเจริญเติบโตช้ากว่า การไปเริ่มต้นที่ใหม่ก็เป็นได้ 

อาจลองทำแพลนเป้าหมายการทำงานขึ้นมาคร่าวๆ ว่าปีนี้เราอยากทำอะไร อยากพัฒนาทักษะไหน อยากก้าวขึ้นตำแหน่งงานไหน อยากมีรายได้เท่าไหร่ ฯลฯ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการลำดับความคิดและวางแผนการทำงานให้ตรงกับเป้าหมายของเรามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องบริหารจัดการงานปัจจุบันให้ดี รับผิดชอบต่องานในหน้าที่ให้สมบูรณ์

7. เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่หรือทักษะการทำงานใหม่ๆ อยู่เสมอ 

แนวคิดการเปิดใจให้กว้างเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ เปิดใจรับทัศนคติของผู้อื่น รวมถึงการเสริมทักษะใหม่ๆ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการทำงาน ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ตลอดเวลา

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน คุณควรจะเพิ่มทักษะในการพิมพ์แบบสัมผัสเพื่อเพิ่มความเร็วในการพิมพ์ หรือ หากงานของคุณต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ คุณควรจะเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมด้วย การเพิ่มทักษะในการสื่อสารให้คล่องตัวขณะทำงาน ก็จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

8. เห็นคุณค่าของงานที่ตัวเองทำเสมอ

นอกจากการเรียนรู้ทักษะต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานในหน้าที่ของตนเองแล้ว อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องรู้ว่างานหรืออาชีพที่เราทำ มีประโยชน์อย่างไรต่อองค์กรบ้าง ช่วยพัฒนาองค์กรได้อย่างไรบ้าง หรืองานนี้มีประโยชน์อะไรต่อสังคมบ้าง การตระหนักรู้สิ่งนี้จะช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการอยากพัฒนาตนเองในการทำงาน

อีกทั้งหากเราไม่รู้คุณค่าของตัวเองและงานที่ทำ อาจทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสำคัญในองค์กร และมองไม่เห็นอนาคตที่เติบโตกับที่นี่ จนอาจทำให้เกิดอาการ Burn Out ไม่อยากมาทำงาน หรือทำงานไปวันๆ และนำพาไปสู่การลาออกในที่สุด 

9. ให้ความช่วยเหลือคนอื่น และรู้จักขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเช่นกัน

เมื่อเราทำหน้าที่หรือภาระงานของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว หากมีเวลาเหลือก็ไม่ควรลังเลที่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานทุกครั้งที่มีโอกาส สิ่งนี้นอกจากจะแสดงถึงความมีน้ำใจ การเสียสละ และความฉลาดทางอารมณ์แล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้ภายในทีม หรือแสดงให้หัวหน้าเห็นว่านอกจากสามารถทำงานในขอบเขตงานของตัวเองได้แล้ว เรายังมีความสามารถด้านอื่นๆ ด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อช่วยเหลือคนอื่นแล้ว บางครั้งหากเราติดขัดในงานก็ต้องรู้จักขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเช่นกัน   สิ่งนี้จะช่วยสร้างสังคมของความร่วมมือกัน (Collaborative Environment) การขอความช่วยเหลือในองค์กรช่วยให้เราได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ (Learn New Skill) ของเพื่อนร่วมงานไปด้วยในตัว

10. เอาชนะ “ความกลัวความล้มเหลว” ของตนเองให้ได้

ความกลัวต่อความล้มเหลว อาจทำให้คุณไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายในอาชีพการงาน แม้ว่าความกลัวจะคอยฉุดรั้งคุณไว้ แต่หากคุณต้องการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น สิ่งสำคัญคือ ต้องสร้างความมั่นใจและหาวิธีก้าวผ่านสิ่งที่ยากลำบาก

เพื่อเอาชนะความกลัวนี้ ให้ลองถามตัวเองว่าคุณกลัวอะไรจริงๆ โดยพิจารณาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณประสบความสำเร็จ แทนที่จะถามตัวเองว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากคุณล้มเหลว จำไว้ว่าความล้มเหลวยังคงเกิดขึ้นได้ และนั่นก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่เราต้องอย่าท้อเมื่อล้มเหลว แต่ควรเรียนรู้จากความผิดพลาดและใช้ความผิดพลาดเหล่านั้นเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น สิ่งนี้เป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตทางอาชีพได้อย่างมั่นคง 

สรุป หากใครกำลังกำหนดเป้าหมายพัฒนาตนเองในเรื่องการทำงานอยู่ล่ะก็ ลองเข้ามาเช็กลิสต์ “10 แนวคิดการทำงาน” ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณให้ดีขึ้นกว่าที่เคย กรุงเทพธุรกิจ ได้รวบรวมแนวคิดดีๆ มาเสิร์ฟให้แล้ว ดังนี้

·      ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น 1% ในทุกๆ วัน

·      อย่ากลัวที่จะพูดว่า “ไม่” เพื่อกำหนดขอบเขตการทำงานของคุณ

·      แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ทำงานเสร็จแบบไม่เครียด

·      อย่าติดกับดัก impostor syndrome คิดว่าตนเองไม่เก่งพอ

·      ทบทวน Career Cycle และเส้นทางอาชีพของตนอยู่เสมอ

·      เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ เพิ่มทักษะการทำงานใหม่ๆ อยู่เสมอ

·      มองเห็นคุณค่าของงานที่ตัวเองทำเสมอ

·      รู้จักขอความช่วยเหลือ และให้ความช่วยเหลือผู้อื่น

·      เอาชนะ “ความกลัวความล้มเหลว” ของตนเองให้ได้

ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ 27 ธ.ค. 2024

เกี่ยวข้องกัน

4 นิสัยการทำงาน วัยทำงานต้องพัฒนาตนเองสู่เวอร์ชันที่ดีขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ 

·       หากวัยทำงานเริ่มพัฒนาพฤติกรรมการทำงานที่ดีตั้งแต่ตอนนี้ จะช่วยให้คุณมีทักษะใหม่ๆ มีสุขภาพกายใจที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้คุณเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า และช่วยให้รับมือความท้าทายในปีหน้าด้วยความมั่นใจ

·       พนักงานออฟฟิศเป็นกลุ่มที่ใช้งานหน้าจอเป็นเวลานาน แต่การใช้เวลาหน้าจอมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาในการนอนหลับ ปวดหัว ปวดคอและหลัง วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน และเสพติดโซเชียลได้ 

·       หนึ่งในวิธีที่ช่วยปรับพฤติกรรมการทำงานให้ดีขึ้น ก็คือ การลดใช้งานหน้าจอต่างๆ ลดไถฟีดส่องโซเชียล พักจากการทำงานหน้าจอเป็นระยะๆ เพื่อไปพักสายตา ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และทำสมาธิเพื่อลดความเครียด 

อย่ารอที่จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองในตอนตั้งปณิธานปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ในเมื่อเราสามารถทำได้เลยก่อนสิ้นปีนี้ ไม่เพียงแต่คุณจะปิดท้ายปี 2024 ด้วยความภาคภูมิใจเท่านั้น แต่ยังเริ่มต้นปี 2025 ได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะวัยทำงาน หากคุณพัฒนาพฤติกรรมการทำงานที่ดีตั้งแต่ตอนนี้ จะช่วยให้คุณมีทักษะใหม่ๆ เพิ่มเติมซึ่งทำให้คุณเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า และยังช่วยให้รับมือกับความท้าทายในปีหน้าด้วยความมั่นใจ

โช เดวาน (Sho Dewan) โค้ชผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพการงาน และซีอีโอผู้ก่อตั้ง Workhap อธิบายผ่านบทความของ Forbes ว่า การเริ่มต้นทบทวนและปรับปรุงตัวเองแต่ละปี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำในฐานะคนทำงาน แม้จะทำได้ยาก แต่หากเริ่มทำด้วยขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความตั้งใจ คุณก็จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในการทำงานได้ ทั้งช่วยเพิ่มผลงาน สร้างความสัมพันธ์ในการทำงานให้ดีขึ้น และบรรลุเป้าหมายในอาชีพการงานได้มากขึ้น และนี่คือ 4 นิสัยการทำงานที่ดีที่วัยทำงานสามารถเริ่มสร้างได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อการเติบโตทางอาชีพการงานในระยะยาว 

@ใช้เวลาหน้าจอในการส่องโซเชียลมีเดียให้น้อยลง

รู้หรือไม่? ผู้คนทั่วโลกใช้เวลาไถฟีดบนหน้าจอมือถือนานขึ้นเรื่อยๆ โดยมีข้อมูลจาก Explodingtopics ระบุว่า คนอเมริกันใช้เวลาหน้าจอเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 3 นาทีต่อวัน (รวมหมดทั้งหน้าจอสมาร์ทโฟน จอคอมพิวเตอร์ หรือจอแท็บเล็ต) ส่วนในประเทศไทยมีข้อมูลจาก กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ชี้ว่า ปี 2567 คนไทยส่วนใหญ่ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านหน้าจอต่างๆ นานเกือบ 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของเวลาตลอดทั้งวัน 

โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศเป็นกลุ่มที่ใช้งานหน้าจอเป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การใช้เวลาหน้าจอมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาในการนอนหลับ ปวดหัว ปวดคอและหลัง วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน และเสพติดโซเชียลได้ เพื่อปกป้องสุขภาพกายและจิตใจของคุณ แนะนำให้ลดเวลาหน้าจอลง โดยพักเป็นระยะๆ เพื่อยืดเส้นยืดสายหรือทำสมาธิ การอยู่ห่างจากหน้าจอยังช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับเวลาว่างได้อย่างเต็มที่อีกด้วย โดยอาจหาเวลาว่างไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน เพื่อพักผ่อนจิตใจด้วยกิจกรรมอื่นๆ เช่น เดินในสวน อ่านหนังสือ เขียนไดอารี่ และพูดคุยกับผู้อื่น สิ่งหเล่านี้ช่วยลดการใช้หน้าจอและปรับสมดุลชีวิตให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ในระหว่างการประชุม ควรหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ (เว้นแต่จำเป็น) เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนสมาธิ และถือเป็นการแสดงความเคารพต่อเพื่อนร่วมงาน ทั้งนี้มีการวิจัยยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า การเขียนสรุปประชุมลงบนกระดาษช่วยให้จดจำได้ดีขึ้น ดังนั้น หากคุณกำลังจดบันทึกอะไรก็ตาม ลองใช้ปากกาและกระดาษแทนการจดข้อความด้วยแล็ปท็อป เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของคุณ รวมไปถึงควร “งดเช็กอีเมลนอกเวลางาน” เป็นอีกวิธีที่ช่วยสร้างขอบเขตที่เหมาะสมระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวได้ดี 

@ควรฝึกฝนการฟังอย่างมีส่วนร่วมในระหว่างพูดคุยกับผู้อื่น

การฟังอย่างตั้งใจนั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมีสติ แนะนำให้ฝึกการตั้งใจฟังผู้พูดอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะในระหว่างการประชุมหรือการเวิร์กช็อปใดๆ ก็ตาม ให้เราแสดงความสนใจและสนับสนุนให้พวกเขาแชร์เรื่องราวเหล่านั้นออกมาอย่างเต็มที่ โดยการสบตากับพวกเขา ยืนตัวตรง พยักหน้า หรือยิ้มให้พวกเขา แทนที่จะขัดจังหวะด้วยการพูดเรื่องของตัวเองสวนออกไป แต่ควรจดจ่อกับผู้พูดก่อนและถามคำถามของคุณหลังจากผู้พูดได้พูดจบแล้วเท่านั้น

อีกทั้งเรายังสามารถพูดสรุปในสิ่งที่พวกเขาพูดออกมา เพื่อให้ตัวเราและเขาฟังร่วมกันอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด และยังแสดงให้เห็นว่าคุณเห็นคุณค่าในความคิดของเพื่อนร่วมงาน หากเพื่อนร่วมทีมของคุณประสบปัญหาในการทำงานบางอย่าง ให้แสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยอาจจะใช้ข้อความเชิงบวก เช่น “ฉันเข้าใจคุณนะ” หรือ “มาคิดหาทางออกด้วยกันเถอะ” เป็นต้น การเสนอวิธีแก้ปัญหาและรับฟังคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ในเวลาเดียวกัน จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมของความไว้วางใจและทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น 

@ควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อพัฒนาทักษะใหม่ให้ตนเอง

วัยทำงานควรพัฒนานิสัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต พยายามเอาตัวเองออกไปสำรวจโอกาสใหม่ หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เสมอ ลองใช้เวลาว่างอ่านหนังสือ หรือฟังพอดแคสต์ หรือชมวิดีโอจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการศึกษาความรู้บางอย่างเพิ่มเติม การพัฒนาทักษะไม่ได้หมายความว่าต้องกลับไปเรียนหนังสือเสมอไป แต่ให้ใช้ประโยชน์จากหลักสูตรออนไลน์ฟรี หรือบทเรียนฟรีจากแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Coursera, Udemy หรือแม้แต่ YouTube

การลองทำงานหลายๆ สาขา ตั้งแต่การเขียนบทโฆษณา การออกแบบกราฟิก ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและการเขียนโปรแกรม จะช่วยให้คุณได้เปรียบคู่แข่ง อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานของคุณ ขอคำติชมเพื่อเรียนรู้เทคนิคต่างๆ และแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์อื่นๆ ลองท้าทายตัวเองอยู่เสมอและตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง เช่น ก่อนสิ้นปี ให้ตั้งใจเรียนหลักสูตรออนไลน์ระยะสั้น 2 หลักสูตรให้จบ เป็นต้น

@ฝึกแสดงความขอบคุณต่อผู้คนและสิ่งรอบตัว แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ 

บางครั้งเมื่อคุณรู้สึกเครียดกับงาน คุณก็จะลืมที่จะหยุดพักและขอบคุณทุกคนที่คอยอยู่เคียงข้างคุณ ดังนั้น ให้ลองฝึกการแสดงความขอบคุณต่อเพื่อนร่วมงานที่อยู่เคียงข้างคุณ ขอบคุณที่ปรึกษาที่เชื่อมั่นในศักยภาพของคุณ และขอบคุณเพื่อนที่คอยให้กำลังใจคุณเสมอ 

อาจทำได้ด้วยการมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ หรือแม้แต่กล่าวคำว่า “ขอบคุณ” ก็สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงานได้แล้ว และอย่าลืม! ชื่นชมความก้าวหน้าของตัวเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปิดดีลสำคัญ การนำเสนอที่น่าประทับใจ หรือเพียงแค่การผ่านวันอันยากลำบาก คุณก็สมควรที่จะเฉลิมฉลองและยกย่องความสำเร็จของตัวเอง

แม้ตอนนี้จะเหลือเวลาแค่เดือนกว่าๆ ก็จะก้าวสู่ปีใหม่ 2025 แล้ว แต่คุณยังสามารถทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้หลายอย่างก่อนจะโบกมือลาปี 2024 อย่าลืมว่าให้เน้นที่การลดเวลาหน้าจอ ฝึกการฟังอย่างตั้งใจ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต่อไป และแสดงความขอบคุณต่อผู้คนรอบตัวคุณ แล้วเราทุกคนจะสามารถเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน 

ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ 12 พ.ย. 2024

 

เกี่ยวข้องกัน

ทำงานเวลาไหนดีที่สุด? 4 Chronotype นาฬิกาชีวิตส่งผลประสิทธิภาพงาน

เคยสงสัยไหม ทำไมบางคนถึงชอบคิดงานตอนกลางวัน สมองลื่นไหล มีสมาธิขั้นสุด ในขณะที่บางคนกลับนั่งอึนๆ งงๆ โต้ตอบช้าในตอนกลางวัน แต่กลับไอเดียกระฉูดและมีสมาธิทำงานในตอนกลางคืนมากกว่า คำตอบของเรื่องนี้คงอยู่ที่นาฬิกาชีวิตตามธรรมชาติของแต่ละคน ที่กำหนดเวลานอน เวลาตื่น และเวลาที่สมองทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพที่สุด แตกต่างกันไป โดยผู้เชี่ยวชาญเรียกสิ่งนี้ว่า โครโนไทป์ (Chronotype) หรือ บุคลิกนาฬิกาชีวิต ซึ่งมีอิทธิพลต่อพลังงาน สมาธิ อารมณ์ และประสิทธิภาพการทำงานของคนเราในแต่ละช่วงเวลา 

ดร.ไมเคิล บรูส (Michael Breus) นักจิตวิทยาด้านเวชศาสตร์การนอนหลับ ได้อธิบายเรื่องบุคลิกนาฬิกาชีวิตไว้อย่างละเอียดในหนังสือที่ชื่อว่า The Power of When” โดยแบ่ง Chronotype ออกเป็น 4 แบบโดยเปรียบเทียบกับบุคลิกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 4 ประเภท และ ได้แก่ สิงโต โลมา หมาป่า และหมี ซึ่งการแบ่งประเภทดังกล่าวเรียกว่า Morningness-Eveningness Questionire (MEQ) 

ดร.ไมเคิล อธิบายว่า ในแต่ละโครโนไทป์ของคนเราจะถูกกำหนดโดยปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นหลัก มีการศึกษาที่ค้นพบว่าผู้ที่มีกิจวัตรที่ขัดแย้งกับนาฬิกาชีวิตของตนเองนั้น มักได้รับผลกระทบในเรื่องของความสามารถในการทำงาน คุณภาพในการใช้ชีวิต รวมไปถึงผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย แต่หากใช้ชีวิตและทำงานตามนาฬิกาชีวิตของตนเอง ก็จะทำให้ใช้ชีวิตได้มีคุณภาพ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ทำไมการรู้ Chronotype ของตนเองจึงสำคัญกับการทำงาน ?

ในขณะที่ โค้ชด้านประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity) อย่าง แมคเคนซี สวีนีย์ (Mackenzie Sweeney) เธอเองก็เป็นนักวิจัยอีกคนได้ศึกษาหัวข้อนี้อย่างจริงจังและพบว่ามนุษย์เรามี Chronotype 4 รูปแบบ ซึ่งเปรียบเทียบกับสัตว์ 4 ชนิดเหมือนอย่างที่ ดร.ไมเคิล บอกไว้ข้างต้น ทั้งนี้ Chronotype ไม่ใช่แค่การบอกว่าเราเป็น “คนตื่นเช้า” หรือ “คนนอนดึก” แต่มันยังสามารถช่วยให้คุณวางแผนกิจกรรมต่างๆ ตามช่วงเวลาที่ร่างกายและสมองทำงานได้ดีที่สุดได้ด้วย 

เนื่องจากคนเรามีช่วงเวลาในการทำงานให้มีประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลมาจากระดับคอร์ติซอลและฮอร์โมนที่ขึ้นลงแตกต่างกัน เป็นผลให้นาฬิกาชีวิตของผู้คนแตกต่างกันตามไปด้วย ดังนั้น ถ้าคุณรู้ว่าตนเองเป็น Chronotype แบบไหน คุณสามารถออกแบบตารางชีวิตให้เหมาะสมกับพลังงานของคุณได้ แทนที่จะฝืนตัวเองให้ทำงานตามตารางเวลามาตรฐานของชาวออฟฟิศแบบ ‘9am to 5pm’ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกคนเสมอไป และทำให้ได้งานที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่คาดหวัง ตรวจสอบบุคลิกนาฬิกาชีวิตของคุณได้ที่นี่: chronotypes-quiz

 

4 Chronotype ของคน เมื่อเทียบกับบุคลิกของ สิงโต โลมา หมาป่า หมี

 

1.‘สิงโต’ ตื่นเช้าและพร้อมลุยงานตั้งแต่รุ่งสาง

จากการศึกษาวิจัยของ สวีนีย์ พบว่า คนที่จัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทสิงโตนั้นมีประมาณ 15-20% ของจำนวนประชากรโลก คนกลุ่มนี้มักจะตื่นนอนได้เองในตอนเช้า ตั้งแต่เวลา 05.30 - 06.00 น. ด้วยความสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งนาฬิกาปลุกเลย คนประเภทสิงโตเป็นพวกที่ตื่นเช้าได้ง่ายมาก มีพลังงานพุ่งสูงสุดช่วงเช้า เพราะระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการตื่นตัวและจัดการความเครียด) จะพุ่งขึ้นทันที โฟกัสงานหนักได้ดีในช่วงเช้า จากนั้นพลังงานจะลดลงเร็ว และจะรู้สึกหมดแรงในช่วงเย็น มักเข้านอนเร็วประมาณ 4-5 ทุ่ม 

สวีนีย์แนะนำว่ากลุ่มคนประเภทนี้ควรจะเริ่มจัดการชีวิตของตัวเองทันทีที่ตื่นนอน อาจจะเป็นการทำกิจวัตรยามเช้า เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ หรืออ่านหนังสือ รับประทานอาหารเช้า เป็นต้น อีกทั้งพวกเขามักจะเริ่มต้นการทำงานตั้งแต่ 08.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนอื่นอาจจะเพิ่งตื่นนอน หรือยังไม่พร้อมปรับโหมดเข้าสู่การทำงานเลยด้วยซ้ำ จากนั้นประสิทธิภาพการทำงานของคนกลุ่มนี้จะขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงกลางวัน และอยู่ในระดับคงที่ไปตลอดช่วงบ่าย 

ตารางเวลางานที่เหมาสม: 
08.00 - 10.00 น. เน้นประชุม พูดคุย ติดต่อผู้คน (พีคสุดสำหรับการสื่อสาร) 
10.00 - 12.00 น. ทำงานที่ใช้สมาธิสูง 
13.00 - 15.00 น. ทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ 

เคล็ดลับการจัดสรรงาน: ใช้ช่วงเช้าทำงานที่ต้องใช้พลังสมองเยอะๆ อย่าฝืนตัวเองให้ทำงานดึก เพราะร่างกายคุณไม่เหมาะกับการทำงานช่วงกลางคืน พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ตื่นมาพร้อมลุยในวันรุ่งขึ้น!

 

2.‘โลมา’ สมองไว พร้อมเริ่มงานตอนเย็น หลับยากตื่นง่าย 

กลุ่มคนบุคลิกนาฬิกาชีวิตแบบโลมานั้น มีเพียง 10-15% ของประชากรโลก คนประเภทโลมาเป็นพวกที่มีนิสัยการนอนแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น มีลักษณะพิเศษคือ พวกเขามีสมองที่ตื่นตัวตลอดเวลา มักจะนอนไม่หลับหรือนอนยาก หากมีอะไรมาขัดจังหวะนิดเดียวก็จะรู้สึกตัวตื่นได้ง่าย เช่น แสง เสียง หรือใครมาโดนตัวตอนกำลังนอนอยู่ก็จะตื่นเลย หลับได้ไม่ลึก ส่วนหนึ่งเพราะเป็นคนขี้กังวล ระวังตัว เป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ ไม่ชอบความเสี่ยง สามารถทำงานได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน 

ลักษณะเด่นของกลุ่มคนประเภทโลมามักคิดมากก่อนนอน ทำให้นอนไม่หลับ แต่จะครีเอทีฟสุดๆ ในช่วงเช้าตรู่เพราะระดับคอร์ติซอลของพวกเขาจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงนี้ เหมาะกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสมองยังไม่ตื่นเต็มที่ แต่หลังจากนั้นในช่วงเย็นจะเป็นเวลาที่พลังงานพุ่งสูงสุด มีสมาธิที่สุด ประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนอื่นเลิกงานและกลับบ้านแล้ว กลุ่มคนประเภทโลมามักจะมีปัญหาเรื่องการนอนในตอนกลางคืน เนื่องจากระดับคอร์ติซอลในร่างกายยังสั่งการให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ แม้จะถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้วก็ตาม 

ตารางเวลางานที่เหมาะสม:
04.00 - 06.00 น.  ทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์
ช่วงสาย ช่วงบ่าย  พักผ่อนหรืออาจทำงานด้านพูดคุย ประชุม ติดต่อผู้คน 
16.00 - 18.00 น.  ทำงานที่ใช้สมาธิสูง

เคล็ดลับการจัดสรรงาน: ลดแสงหน้าจอ ปิดมือถือก่อนสี่ทุ่ม พยายามพักผ่อนนอนหลับให้ได้เต็มที่ ช่วงดึกถึงเช้ามืดคิดไอเดียใหม่ๆ ส่วนช่วงเช้าไปจนถึงสายๆ อาจไม่มีสมาธิทำงานมากนัก แต่สามารถทำงานได้ดีในช่วงตอนเย็น

 

3.‘หมาป่า’ ตื่นเช้าไม่ไหว สายปั่นงานกลางคืน พลังพุ่งหลังอาทิตย์ตก

กลุ่มคนประเภทหมาป่า เรียกอีกอย่างว่า “นกฮูกกลางคืน” เนื่องจากพวกเขารู้สึกโปรดักทีฟที่สุดเมื่อพระอาทิตย์ตก กลางวันนั่งอึนคิดงานไม่ออก แต่พอฟ้ามืดเท่านั้นแหละไอเดียกระฉูดทันที และมีพลังงานพุ่งในช่วงดึก คนกลุ่มนี้มีอยู่ประมาณ 15% ของประชากรทั้งโลก  

พวกเขามักจะเริ่มต้นวันสายกว่ากลุ่มคนประเภทอื่น หลังตื่นนอนมักจะใช้เวลาบิดขี้เกียจและม้วนตัวไปมาอยู่บนเตียงอีกราว 90 นาที กว่าจะพร้อมเริ่มต้นวันใหม่ มีลักษณะเป็นคนเก็บตัว อารมณ์แปรปรวน แต่มีความคิดสร้างสรรค์ มักมีปัญหาการตื่นนอนในตอนเช้า ประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาจะเริ่มสูงขึ้นในช่วงบ่าย และจะทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ดีที่สุดตอนกลางคืน ซึ่งคนอื่นๆ ไปพักผ่อนกันแล้ว ถือเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบและเหมาะแก่การทำงานที่มีความซับซ้อน

ตารางเวลางานที่เหมาะสม:
14.00 - 16.00 น. ทำงานที่ใช้สมาธิสูง
15.30 - 17.00 น. ทำงานติดต่อสื่อสาร ประชุม พูดคุย 
20.00 - 23.00 น. ทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ งานซับซ้อน

เคล็ดลับการจัดสรรงาน: ยามค่ำคืนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการทำงาน ทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์และตรรกะเหตุผล ให้ลองแบ่งงานบางส่วนมาทำตอนกลางคืนอาจช่วยให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้นมากกว่าที่คิด

 

4.‘หมี’ ตื่นและนอนตามแสงอาทิตย์ ทำงานได้ดีช่วงสายๆ

กลุ่มคนประเภทหมี เป็น Chronotype ที่พบได้มากที่สุดถึง 50% ของประชากรโลก พวกเขาเป็นพวกที่ใช้ชีวิตตามจังหวะของดวงอาทิตย์ ตื่นไม่เช้าหรือสายเกินไปและเข้านอนในเวลาปกติ แต่หลังตื่นนอนจะคล้ายกับหมาป่า คือ มีอาการงัวเงียต้องใช้เวลาประมาณ 90 นาทีเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นเต็มที่ ระดับคอร์ติซอลของพวกเขาจะพีคสูงสุดในช่วงสายๆ ถึงเที่ยง จึงทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุดในช่วงนั้น หลังจากนั้นพลังงานลดลงชัดเจนช่วงบ่าย จึงต้องการพักเบรกจริงจัง ช่วงเย็นเหมาะกับกิจกรรมทางสังคม

ส่วนเรื่องการทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ พวกเขาจะมีไอเดียไหลลื่นสูงสุดเมื่อเลยเวลาทานอาหารมื้อค่ำไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจไป หากความคิดและไอเดียใหม่ ๆ จะปรากฎขึ้นในหัวเสมอ เมื่อพวกเขากำลังจะเข้านอนในช่วง 20.00 -22.00 น. ซึ่งคนกลุ่มนี้จะไม่เข้านอนดึกมากนัก และนอนหลับได้ดีในช่วงกลางคืน 

ตารางเวลางานที่เหมาะสม:
10.00 - 12.00 น. ทำงานที่ใช้สมาธิสูง
14.00 - 15.00 น. พักเบรกระหว่างวัน
15.00 - 17.00 น. ทำงานติดต่อสื่อสาร ประชุม พูดคุย 
20.00 - 22.00 น. ทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ก่อนเข้านอน

เคล็ดลับการจัดสรรงาน: ช่วงบ่ายจะไม่มีสมาธิทำงานเลย ให้ลุกเดินออกจากโต๊ะทำงานไเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะหากฝืนทำงานต่อไป พลังงานจะลดลงจนไม่เหลืออีกเลยในตอนเย็น

อย่างไรก็ตาม การแบ่งบุคลิกตามนาฬิกาชีวิตทั้ง 4 กลุ่มเป็นเพียงไกด์ไลน์เบื้องต้นเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงการทำงานแต่ละองค์กรอาจไม่เอื้อให้เราสามารถกำหนดเวลาทำงานได้ตามนาฬิกาชีวิตขนาดนั้น แต่หากสามารถคุยกับทีมและตกลงเรื่องการกำหนดตารางงานได้เองก็ถือเป็นเรื่องที่ดี และควรใช้ Chronotype ตามนาฬิกาชีวิตของตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าคุณจะเป็น สิงโต หมี ปลาโลมา หรือหมาป่า การรู้จักนาฬิกาชีวิตของตัวเองจะช่วยให้คุณทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น และใช้พลังงานให้คุ้มค่าที่สุด 

อ้างอิง : BusinessInsiderTechsauceHRex Asiavsookbran 

ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๘