ในช่วงใกล้วันเปิดภาคเรียนใหม่ (เปิดเทอม) ของทุกปี
‘ผู้ปกครอง’ ที่มีบุตรหลานซึ่งอยู่ในวัยกำลังศึกษา ต่างก็มีภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานเพิ่มขึ้น เช่น ค่าซื้ออุปกรณ์การเรียน ค่าซื้อชุดนักเรียนใหม่ รองเท้าและถุงเท้าใหม่ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาทิ ค่าคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งการเรียกเก็บเงินค่าติดแอร์ในห้องเรียน เป็นต้น
ขณะเดียวกัน โรงเรียนหรือสถานศึกษาหลายแห่ง ได้จัดให้มีการ ‘ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา’ ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การทอดผ้าป่าสามัคคี และการรับบริจาคอื่นๆ เพื่อนำ ‘เงิน’ หรือ ‘ทรัพย์สิน’ ที่ได้ ไปใช้สนับสนุนหรือจัดกิจกรรมด้านการศึกษารูปแบบต่างๆ ในขณะที่การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาดังกล่าว มีลักษณะเป็น ‘การเรี่ยไร’
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา มีความเห็นที่ ‘แตกต่างกัน’ ในข้อกฎหมายว่า ในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 นั้น เข้าข่ายต้องเสนอให้ ‘คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ’ หรือ กคร. ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2566 พิจารณาให้เห็นชอบอีกหรือไม่
จึงมีการส่งเรื่องให้ ‘คณะกรรมการกฤษฎีกา’ พิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้ และล่าสุดเมื่อเดือน มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เผยแพร่คำวินิจฉัยในเรื่องนี้ออกมาแล้ว ดังนี้
@หารือปม‘รร.’สังกัด‘สพฐ.’ระดม‘ทรัพยากรเพื่อการศึกษา’
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2566 (เรื่องเสร็จที่ 363/2568)
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) มีหนังสือที่ นร 0106/842 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ถึง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า จังหวัดศรีสะเกษขอหารือข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติมายังคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ (กคร.) กรณีที่ โรงเรียนบ้านทุ่ง ตำบลวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ศรีสะเกษ เขต 1 ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการที่ปรึกษาคณะครูและบุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนบ้านทุ่ง ให้ระดมทุนเพื่อการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้อที่ดินปรับปรุงสนามกีฬาและปรับภูมิทัศน์สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนบ้านทุ่ง ด้วยวิธีการจัดกิจกรรมทอดผ้าป่า
แต่มีประเด็นที่ตองพิจารณาว่า การที่สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะดำเนินการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ประกอบกับประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การระดมทรัพยากรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2554 นั้น ต้องขออนุมัติจัดให้มีการเรี่ยไรต่อคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรจังหวัดศรีสะเกษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2566 หรือไม่
คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ ในการประชุม ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 พิจารณาแล้ว มีความเห็นแตกตางกันเป็นสองฝ่าย ดังนี้
· ฝ่ายที่หนึ่ง เห็นว่าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ เป็นมาตรการในการควบคุมดูแลเรื่องการเรี่ยไรของทางราชการเพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา จึงเป็นการเรี่ยไรที่ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ (กคร.) หรือ กคร. จังหวัด แล้วแต่กรณี ก่อนทำการเรี่ยไร
· ฝ่ายที่สอง เห็นว่า กฎหมายระดับพระราชบัญญัติมีลำดับศักดิ์ที่สูงกว่าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฯ กำหนดให้สามารถระดมทรัพยากร เพื่อการศึกษาได้การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา จึงไม่อยู่ในบังคับของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ
กคร. จึงมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีหารือมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฯ เป็นการเรี่ยไรที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ ด้วยหรือไม่ อย่างไร
@ชี้‘พ.ร.บ.ศึกษาแห่งชาติฯ’มีกลไกป้องกันทุจริต‘ระดมทรัพยากร’
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) พิจารณาข้อหารือสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานปลัดกระทรวงและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว
เห็นว่า มาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สินของทุกภาคส่วน ทั้งจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน เอกชน องค์กรเอกชน วิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอื่น และต่างประเทศให้เข้าในการจัดการศึกษา โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษาไว้สองแนวทาง คือ (1) ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยอาจจัดเก็บภาษีเพื่อการศึกษาได้ตามความเหมาะสม และ (2) ให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยเป็นผู้จัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษา และมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสมและความจำเป็น
ทั้งนี้ การส่งเสริมและให้แรงจูงใจในการระดมทรัพยากรดังกล่าว รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถใช้การสนับสนุน การอุดหนุนและใช้มาตรการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีได้ ตามความเหมาะสมและความจำเป็น ซึ่งการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา มีทั้งกรณีที่เป็นเงินหรือทรัพย์สิน และกรณีที่ไม่ใช่เงินหรือทรัพย์สิน
ปัญหาตามข้อหารือนี้ เป็นกรณีที่สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำเนินการระดมทรัพยากรเพื่อจัดการศึกษาตามมาตรา 58 (2) แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาในลักษณะที่เป็นเงินหรือทรัพย์สิน จึงมีปัญหาว่า จะถือเป็นการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ อันจะต้องดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2566 หรือไม่
กรณีนี้เห็นว่า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฯ ได้บัญญัติเกี่ยวกับหลักการการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาไว้ในมาตรา 8(2) มาตรา 9(5) และ (6) และมาตรา 58 ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ให้ทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา และมีส่วนร่วมรับการะค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสมและจำเป็น โดยใช้กลไกการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการพัฒนาด้านการศึกษาของประเทศ สำหรับวิธีการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษานั้น สถานศึกษาต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การระดมทรัพยากรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2554 โดยต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดมทรัพยากรของสถานศึกษา การเสนอแผนงานและโครงการในการระดมทรัพยากร เพื่อให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้ความเห็นชอบ การใช้จ่ายทรัพย์สินที่ได้จากการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ต้องสอดคล้องกับโครงการที่ได้รับความเห็นชอบ และการรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทราบ นอกจากนี้ ยังต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา พ.ศ.2552 ที่กำหนดให้การรับบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานศึกษาต้องมีการออกหลักฐานการรับบริจาค การบันทึกบัญชีทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคตามแนวปฏิบัติทางบัญชีเกี่ยวกับทรัพย์ถาวรในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (ระบบ GFMIS) ที่กรมบัญชีกลางกำหนด และเก็บรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดเพื่อให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ อีกทั้งยังมีระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน ว่าด้วยการบริหารจัดการเกี่ยวกับเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2549 ที่กำหนดเกี่ยวกับการรับเงินและการเก็บรักษาเงิน การใช้จ่ายเงิน และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเงิน การพัสดุ และการบัญชีของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคล
จะเห็นได้ว่า การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ เป็นกรณีที่มีกฎหมายเฉพาะกำหนดกระบวนการและขั้นตอนในการกลั่นกรอง รวมทั้งการตรวจสอบการดำเนินการไว้อย่างครบถ้วนและชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปในแนวทางเดียวกันและเพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบด้วย
ส่วนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 11 (8) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 เป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลวางระเบียบปฏิบัติราชการ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในการกำหนดมาตรการควบคุมดูแลการเรี่ยไรของทางราชการ เพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
@‘ระดมทรัพยากร’ตาม‘พ.ร.บ.ศึกษาฯ’ไม่ต้องชงเข้า‘กคร.’อีก
เมื่อพิจารณาข้อ 4 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ ที่มีการกำหนดบทนิยามคำว่า “การเรี่ยไร” “เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรี่ยไร” และ “หน่วยงานของรัฐ” และกำหนดให้การเรี่ยไรหรือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ ต้องมีลักษณะและวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดโดยต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ (กคร.) หรือ กคร. จังหวัด แล้วแต่กรณี ก่อนทำการเรี่ยไร เว้นแต่จะเป็นการเรี่ยไรตามข้อยกเว้นที่ไม่ต้องขออนุมัติ ทั้งนี้ ตามข้อ 6 ข้อ 18 และข้อ 19 รวมทั้งการกำหนดขั้นตอนที่หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการเมื่อได้รับอนุมัติหรือได้รับยกเว้นให้จัดให้มีการเรี่ยไรหรือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรี่ยไรตามข้อ 20 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ แล้ว
เห็นว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เป็นกฎหมายที่ควบคุมดูแลการเรี่ยไรหรือการรับบริจาคของหน่วยงานของรัฐเป็นการทั่วไป โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเรี่ยไร การขออนุมัติ ขั้นตอนการดำเนินการเรี่ยไร การทำบัญชีและรายงานการเงิน รวมทั้งการตรวจสอบ โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือสำนักตรวจเงินแผ่นดินจังหวัด ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงานของรัฐเป็นสำคัญ
เมื่อพิจารณาการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ แล้ว
จะเห็นได้ว่า กฎหมายทั้งสองฉบับ มีการกำหนดแนวทางหรือหลักเกณฑ์การดำเนินการ ขั้นตอนการดำเนินการ การบริหารจัดการเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับมา รวมทั้งมาตรการตรวจสอบการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในทำนองเดียวกัน แม้จะมีความแตกต่างในรายละเอียดอยู่บ้าง แต่ก็เป็นไปเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพข้อเท็จจริงของหน่วยงาน
การที่สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐทำการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฯ เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรที่เป็นเงินหรือทรัพย์สินเพื่อใช้ในการจัดการศึกษา แม้จะมีลักษณะเป็นการเรี่ยไรหรือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรี่ยไรเงินหรือทรัพย์สิน แต่เป็นเรื่องที่มีวัตถุประสงค์และลักษณะเฉพาะที่กฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติกำหนดไว้อย่างชัดแจ้งให้สามารถกระทำได้
อีกทั้งยังมีการกำหนดกลไกในการกำกับดูแลและตรวจสอบการรับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับมา เพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากลไก และมาตรการตรวจสอบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ ที่เป็นการควบคุมดูแลการเรี่ยไรโดยทั่วไปที่ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐอื่น ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดแจ้ง ทำให้มีความจำเป็นต้องกำหนดให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว
ดังนั้น การที่สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฯ โดยให้มีการบริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษา จึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ
เหล่านี้เป็นความเห็นของ ‘คณะกรรมการกฤษฎีกา’ คณะที่ 8 ที่มีความเห็นว่า เมื่อมีการ ‘ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา’ ตามขั้นตอนและแนวทาง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการฯที่เกี่ยวข้อง แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเสนอให้ กคร. หรือ กคร.จังหวัด ตามระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2566 พิจารณาอีก!
“…การที่สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฯ โดยให้มีการบริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษา จึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐฯ…”
ที่มา ; สำนักข่าวอิสรา วันอาทิตย์ ที่ 18 พฤษภาคม 2568
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
รวม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2566, ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การระดมทรัพยากรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2554 , ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา พ.ศ.2552, ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน ว่าด้วยการบริหารจัดการเกี่ยวกับเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2549
รวมกฎหมายว่าด้วยการระดมทรัพยากรการศึกษาของโรงเรียนสังกัดสพฐ.และกฎหมายเรี่ยไร.pdf
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2566 (เรื่องเสร็จที่ 363/2568)