การเมืองในสภาฯ กลับมาเข้มข้น มีนัดหมายประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาทในวาระแรก ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.2568
เมื่อตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณ ใน 10 อันดับ พบว่า
1. งบฯกลาง 632,968 ล้านบาท ลดลงจากปี 2568 จำนวน 209,032 ล้านบาท
2. กระทรวงการคลัง 397,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,197 ล้านบาท
3. กระทรวงศึกษาธิการ 355,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,333 ล้านบาท
4. กระทรวงมหาดไทย 301,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,852 ล้านบาท
5. กระทรวงกลาโหม 204,434 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,713 ล้านบาท
6.กระทรวงคมนาคม 200,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,403 ล้านบาท
7.กระทรวงสาธารณสุข 177,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,673 ล้านบาท
8.กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 140,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,058 ล้านบาท
9.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 130,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,483 ล้านบาท และ
10.กระทรวงแรงงาน 68,069 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5 ล้านบาท
งบประมาณที่ถูกจับตามากที่สุด ไม่พ้น “งบฯกลาง” ที่อยู่ในอำนาจของ “นายกรัฐมนตรี” ที่จะบริหารจัดการตามความจำเป็น โดยเฉพาะในภาวะฉุกเฉิน แต่งบฯกลางในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 กลับลดลงจากปี 2568 โดยได้รับการจัดสรร 632,968 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.74 โดยแบ่งเป็น
· รายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ 1,408,060 ร้อยละ 37.25,
· รายจ่ายบูรณาการ 98,767 ร้อยละ 2.61,
· รายจ่ายบุคลากร 820,820 ร้อยละ 21.71,
· รายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน 274,576 ร้อยละ 7.26,
· รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ 421,864 ร้อยละ 11.16,
· รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,541 ร้อยละ 3.27
หากจำแนกตามยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย
· ด้านความมั่นคง 415,327 ล้านบาท
· การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 394,611ล้านบาท
· การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 605,927 ล้านบาท
· การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 942,709 ล้านบาท
· การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 147,216 ล้านบาท และ
· การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 605,441 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน มีความพยายามปรับ“งบฯกลาง” ให้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลต้องการนำมาใช้แก้ปัญหาสถานการณ์ “ภาษีทรัมป์” ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่า “ทีมไทยแลนด์” จะสามารถเจรจาต่อรองได้มากน้อยเพียงใด
งบกระตุ้นศก.1.5 แสนล้านกระจุก‘เพื่อไทย’
อย่างไรก็ตามในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 ที่ผ่านมา มีการปรับงบ 157,000 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่โยกงบมาจากโครงการแจกหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต
โดยกำหนดให้หน่วยรับงบประมาณจัดทำข้อเสนอโครงการผ่านรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณา พร้อมเสนอโครงการต่อสำนักงบประมาณภายในเดือน พ.ค. ก่อนเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติ ภายในเดือน มิ.ย. และสำนักงบประมาณจะจัดสรรภายในเดือน ก.ค.
แม้จะวางกรอบการเบิกจ่ายงบประมาณ 157,000 ล้านบาท แต่โครงการที่เสนอขอต้องมีความพร้อม และเกิดเม็ดเงินไหลเข้าสู่ชุมชน เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แต่งบฯ ดังกล่าวกลับกระจุกตัวอยู่กับกระทรวง หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “พรรคเพื่อไทย” อาทิ
กระทรวงคมนาคม ภายใต้การกำกับดูแลของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เตรียมเสนอโครงการตามกรอบ ได้แก่
1. แก้ไขปัญหาด้านการจราจรในพื้นที่คอขวดและขาดความเชื่อมโยง
2. เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง
3. แก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟและถนนเสมอระดับ
4. ก่อสร้างปรับปรุงจุดพักรถบรรทุกเพื่อให้สามารถบังคับใช้ พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 และ
5.ปรับปรุงหรือพัฒนาถนนเชื่อมโยงเมืองรอง แหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่การผลิต
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ภายใต้การกำกับดูแลของ “สรวงศ์ เทียนทอง” เตรียมเสนอโครงการตามกรอบ ได้แก่
1.ปรับปรุงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬาและสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องน้ำ ห้องพัก สถานที่ป้ายบอกทาง
2.พัฒนาระบบอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว
3.พัฒนาและยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว อาทิ การติดตั้งระบบ CCTV ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ
4.กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง
งบปี 69“ภูมิใจไทย”เพิ่มทุกกระทรวง
ขณะเดียวกันกระทรวงที่อยู่ในการกำกับดูแลของ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งมีอยู่ 4 กระทรวงประกอบด้วยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงแรงงานต่างได้รับอนุมัติงบประมาณเพิ่มขึ้น
· กระทรวงศึกษาธิการ 355,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,333 ล้านบาท
· กระทรวงมหาดไทย 301,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,852 ล้านบาท
· กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 140,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,058 ล้านบาท และ
· กระทรวงแรงงาน 68,069 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5 ล้านบาท
เกี่ยวข้องกัน
ที่มาและความสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ รวมทั้งขั้นตอนการพิจารณากฎหมายสำคัญฉบับดังกล่าวในส่วนของรัฐสภา มานำเสนอให้ได้รับทราบ ดังนี้
ที่มาและความสำคัญของ "งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน"
งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน คือ เงินของแผ่นดินที่กฎหมายอนุญาตให้รัฐบาลนำไปใช้จ่ายในการบริหารราชการแผ่นดิน และรวมทั้งที่องค์กรอื่น ๆ ของรัฐนำไปใช้จ่ายตามหน้าที่และอำนาจ รวมทั้งภารกิจที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินนี้ ได้มาจากภาษีอากรของประชาชน โดยผ่านความเห็นชอบหรือขออนุญาตจากตัวแทนของประชาชนคือรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาผู้แทนราษฎรก่อน ด้วยเหตุนี้รัฐธรรมนูญจึงได้บัญญัติการใช้งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ เรียกว่า พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
ในการจัดทำงบประมาณของประเทศไทย กำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมีหน้าที่และอำนาจในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ หรือรัฐมนตรีซึ่งตามกฎหมายให้มีหน้าที่กำกับหรือควบคุมกิจการของรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบในการยื่นงบประมาณประจำปีต่อผู้อำนวยการสำนักงบประมาณภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งการจัดทำงบประมาณต้องมีความยืดหยุ่น คล่องตัว และสามารถรองรับภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ ต้องคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขกับประชาชนและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของภาครัฐ ตามหลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดทำงบประมาณแล้วเสร็จ ให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนองบประมาณประจำปีต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อคณะรัฐมนตรีเสนอต่อรัฐสภาเป็นเวลาอย่างน้อยสองเดือนก่อนวันเริ่มปีงบประมาณนั้น เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีเวลาเพียงพอในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งสภาจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการให้มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ โดยในการพิจารณางบประมาณรายร่ายประจำปีในแต่ละปีที่ผ่านมา ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อทำหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเมื่อมีการพิจารณาแล้วเสร็จให้คณะกรรมาธิการฯ จัดทำรายงานเสนอต่อสภาเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ต่อไป โดยเมื่อฝ่ายนิติบัญญัติเห็นชอบแล้ว ฝ่ายบริหารจะเป็นผู้นำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าเพื่อประกาศบังคับใช้ โดยการใช้จ่ายงบประมาณต้องอยู่ภายใต้หลักการความโปร่งใสและตรวจสอบได้ต่อไป
► สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มุ่งเน้นดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ทั้งนโยบายการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ นโยบายเร่งด่วน นโยบายระยะกลาง และระยะยาวที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แผนปฏิบัติราชการของกระทรวง ความจำเป็นและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ รวมทั้งน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุนโอกาสในการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วน เร่งสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม ต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตและการบริการ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อวางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ สร้างความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งได้ให้ความสำคัญกับความต้องการในพื้นที่และแผนพัฒนาพื้นที่ที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วน และภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ ศักยภาพการดำเนินงาน ความพร้อมของพื้นที่ ขีดความสามารถในการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ และความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน โดยคำนึงถึงฐานะการคลัง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และความเป็นธรรมทางสังคม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐ
วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวนไม่เกิน 3,780,600 ล้านบาท โดยที่การจัดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นการจัดทำ “งบประมาณแบบขาดดุล” คือ เป็นแนวทางการจัดทำงบประมาณที่รัฐจัดสรรงบประมาณรายจ่ายมากกว่ารายรับที่คาดว่าจะได้รับในปีงบประมาณนั้น ๆ โดยเป็นการขาดดุลงบประมาณ 860,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลดลงจากปีงบประมาณ 2568 ซึ่งมีการขาดดุลคิดเป็นร้อยละ 4.5 ของ GDP โดยจำแนกเป็นรายการและจำนวนเงินที่กำหนดไว้ ดังนี้
1. จำแนกตามกลุ่มงบประมาณ
กลุ่มงบประมาณ |
จำนวน (ล้านบาท) |
สัดส่วน (ร้อยละ) |
1) รายจ่ายงบกลาง |
632,968.7500 |
16.74 |
2) รายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ |
1,408,060.3287 |
37.25 |
3) รายจ่ายบูรณาการ |
98,767.8186 |
2.61 |
4) รายจ่ายบุคลากร |
820,820.8104 |
21.71 |
5) รายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน |
274,576.8057 |
7.26 |
6) รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ |
421,864.4264 |
11.16 |
7) รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง |
123,541.0602 |
3.27 |
2. จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ สรุปได้ดังนี้
ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบฯ ปี 69 |
จำนวน (ล้านบาท) |
1) ด้านความมั่นคง |
415,327.9413 |
2) ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน |
394,611.6456 |
3) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ |
605,927.2575 |
4) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม |
942,709.1735 |
5) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม |
147,216.8998 |
6) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ |
605,441.5957 |
นอกจากนั้น ยังมีรายการค่าดำเนินการภาครัฐ จำนวน 669,365.4866 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การชำระหนี้ภาครัฐ และเพื่อชดใช้เงินคงคลัง
บทบาทของรัฐสภาในการพิจารณางบประมาณ
รัฐสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีหน้าที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ควบคุม ติดตาม และตรวจสอบการใช้จ่ายงประมาณแผ่นดินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 140 และ 141 กำหนดให้การจ่ายเงินของแผ่นดินต้องทำเป็นพระราชบัญญัติ และเนื่องจากเป็นพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน จึงกำหนดให้คณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 125 วัน โดยมาตรา 143 ได้บัญญัติให้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สภาผู้แทนราษฎรจะต้องวิเคราะห์และพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน และวุฒิสภาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 20 วัน นับตั้งแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินั้นมาถึงสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ตามลำดับ ซึ่งการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของรัฐสภา ประกอบด้วย
1) สภาผู้แทนราษฎร แบ่งการพิจาณาเป็น 3 วาระ ดังนี้
วาระที่ 1 การพิจารณารับหลักการ เป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีในเบื้องต้นถึงความเหมาะสม ความจำเป็น เมื่อสภาผู้แทนราษฎรรับหลักการของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีในวาระที่ 1 นี้แล้ว สภาผู้แทนราษฎรจะแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจาณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
วาระที่ 2 การพิจารณารายละเอียด เป็นการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่สภาแต่งตั้งขึ้นโดยพิจารณารายละเอียดการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายของแต่ละหน่วยงาน/โครงการ แผนงาน ของส่วนราชการจากเอกสารประกอบการพิจารณาที่จัดเตรียมโดยสำนักงบประมาณ โดยเปิดโอกาสให้ส่วนราชการชี้แจงหลักการพร้อมกับเอกสารชี้แจงงบประมาณและเหตุผลประกอบการตั้งงบประมาณรายจ่าย เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว จะนำเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณางบประมาณตามลำดับมาตรา ในวาระที่ 2 ต่อไป
วาระที่ 3 การพิจารณาอนุมัติ เป็นการลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยไม่มีการอภิปรายเพิ่มเติมอีก
เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีแล้ว จะนำเสนอต่อวุฒิสภาพิจารณาต่อไป
2) วุฒิสภา เป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่สภาผู้แทนราษฎรส่งมาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ภายใน 20 วัน นับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัติฯ มาถึงวุฒิสภา โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ มิได้
เมื่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามลำดับแล้ว นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 30 กันยายนของปีถัดไป
ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 นั้น หลังจากที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาเปิดสมัยประชุมวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้มีคำสั่งนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ในวันพุธที่ 28 พฤษภาคม ถึงวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในวาระที่หนึ่ง และกฎหมายที่สำคัญอื่น ๆ สำหรับวุฒิสภานั้น ประธานวุฒิสภาได้มีคำสั่งให้นัดประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ถึงวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568 เพื่อเตรียมการพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณในส่วนของวุฒิสภาต่อไป
“พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ” ถือเป็นกฎหมายสำคัญเพื่อให้รัฐบาลมีการวางแผนที่จะดำเนินการไว้ล่วงหน้า ในการนำงบประมาณมาบริหารประเทศ รวมทั้งเป็นแนวทางในการวางแผนการใช้จ่ายของหน่วยงานต่าง ๆ และยังช่วยให้รัฐบาลสามารถดำเนินการในการใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปอย่างถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รวมทั้งก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการบริหารประเทศ ดังนั้น กระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ของรัฐสภาที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ถือเป็นการทำหน้าที่ครั้งสำคัญของฝ่ายนิติบัญญัติอีกวาระหนึ่ง ในการที่จะตรวจสอบการวางแผนการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินของฝ่ายบริหาร ที่มีที่มาจากเงินภาษีของคนไทยทุกคน จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องให้ความสนใจติดตาม ในฐานะที่เป็นเจ้าของเงินภาษีและเป็นผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการเงินงบประมาณของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน
ที่มา ; สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
ข้อมูลประกอบ
งบประมาณกระทรวงศึกษาธิการ >>>
วิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 >>>